อัตราการเสียชีวิตจากโรคหัดลดลง 99% ก่อนเริ่มการฉีดวัคซีน – สถิติการเสียชีวิตเผยให้เห็นกลอุบายโฆษณาชวนเชื่อของอุตสาหกรรมยา

13.12.2025 | www.kla.tv/39772

ตรงกันข้ามกับประเทศอย่างสวิตเซอร์แลนด์หรือเยอรมนี ที่การฉีดวัคซีนเป็นไปโดยสมัครใจมานานหลายทศวรรษ อย่างน้อยจนถึงปี 2020 รัฐทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาได้กำหนดให้เด็กต้องได้รับการฉีดวัคซีนบางชนิด ตามรายงานของสื่อ ฟลอริดาได้ยกเลิกข้อกำหนดการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กในโรงเรียนรัฐบาลแล้ว “ทุกข้อกำหนดนั้นผิดทั้งหมด และเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามและการกดขี่” โจเซฟ ลาปาโด หัวหน้าหน่วยงานสาธารณสุขของรัฐฟลอริดา กล่าว ตามบทความของ NZZ [https://www.nzz.ch/wissenschaft/in-den-usa-bestimmen-impfkritiker-die-gesundheitspolitik-welche-folgen-hat-das-fuer-die-impfquoten-weltweit-ld.1901856] การริเริ่มในฟลอริดาครั้งนี้ กล่าวกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนโยบายโดยทั่วไปภายใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ ซึ่งกำลังตั้งคำถามถึงประโยชน์ของการฉีดวัคซีนมากขึ้นเรื่อยๆ ในทางกลับกัน องค์การอนามัยโลก (WHO) กำลังเตือนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการระบาดของโรคหัดและไอกรุนในระดับท้องถิ่น ซึ่งอ้างว่าเป็นผลมาจากอัตราการฉีดวัคซีนที่ลดลงเล็กน้อย รวมถึงในเยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อป้องกันการระบาดของโรคจากสหรัฐอเมริกาไปยังยุโรปโดยตรง อัตราการฉีดวัคซีนในประเทศเหล่านี้จะต้องคงอยู่ในระดับสูง การสร้างความหวาดกลัวเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ตัวอย่างเช่น เมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว นิตยสารข่าว "Der Spiegel" รายงานว่า "โรคหัดเคยเป็นหนึ่งในโรคระบาดที่น่ากลัวและร้ายแรงที่สุดในโลก จากนั้นการฉีดวัคซีนก็เข้ามา และความน่ากลัวของโรคในวัยเด็กที่ถูกกล่าวอ้างก็ถูกลืมไป ตอนนี้ไวรัสก็กำลังแพร่กระจายอีกครั้งในเยอรมนี ซึ่งเป็นผลพวงจากการเหนื่อยล้าจากการฉีดวัคซีนและข้อมูลที่ผิดพลาด" [https://www.spiegel.de/gesundheit/diagnose/zahl-der-masernfaelle-steigt-durch-impfabstinenz-a-900821.html] วิธีที่ดีที่สุดในการต่อต้าน "ความคิดวิพากษ์วิจารณ์วัคซีนที่ไม่มีมูลความจริง" คือ "การสร้างภูมิคุ้มกันผ่านการให้ความรู้ที่ซื่อสัตย์" ตามบทความจาก NZZ ที่อ้างถึงในตอนต้น Kla.TV ได้แสดงให้เห็นในรายการต่างๆ มากมายว่า สื่อชั้นนำที่เรียกกันว่า – รวมถึง NZZ – แทบจะไม่เคยให้ข้อมูลที่ซื่อสัตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับวัคซีน Kla.TV ก่อตั้งขึ้นเพราะสื่อเหล่านี้ล้มเหลวในการทำหน้าที่รายงานอย่างเป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ และด้วยเหตุนี้ Kla.TV จึงได้ตรวจสอบคำถามเหล่านี้เพื่อคุณด้วย: เรื่องเล่าที่ว่าวัคซีนป้องกันโรคหัดได้ช่วยชีวิตผู้คนนับล้านทั่วโลกจากความเจ็บป่วยร้ายแรงและการเสียชีวิตนั้นเป็นความจริงหรือไม่? เป็นเพราะวัคซีนจริงๆ หรือไม่ที่ทำให้โรคติดต่อเช่นโรคหัดไม่เป็นอันตรายอีกต่อไปในปัจจุบัน? ลองมาดูอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัดในช่วง 130 ปีที่ผ่านมากัน บนเว็บไซต์ของ CDC [ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา] คุณจะพบเอกสารทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอัตราการเสียชีวิตจากสาเหตุต่างๆ ตั้งแต่ปี 1880 ในเวลานั้น อัตราการเสียชีวิตจากโรคหัดอยู่ที่ 41.4 รายต่อประชากร 100,000 คน ข้อมูลอ้างอิงมาจากปรัสเซียในขณะนั้น ในปี 1890 อัตราการเสียชีวิตลดลงเล็กน้อยเหลือ 40.6 รายต่อประชากร 100,000 คน [รายงานสถิติสำคัญและสังคมในสหรัฐอเมริกาในการสำรวจสำมะโนประชากรครั้งที่ 11 ส่วนที่ 1 หน้า 238] สิบปีต่อมา อัตราการเสียชีวิตผันผวนระหว่าง 23 ถึง 31 รายต่อประชากร 100,000 คน [สถิติการเสียชีวิตของสหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ. 1900 ถึง 1904/รายงานพิเศษ เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1906] หากแปลงเป็นตัวเลขสัมบูรณ์แล้ว นั่นหมายถึงมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัดมากกว่า 10,000 รายต่อปี ลองมาดูตัวเลขที่ใหม่กว่านี้กันบ้าง ในเอกสารของกระทรวงสาธารณสุขแห่งสหพันธรัฐเยอรมนี [BGA = Bundesgesundheitsamt = สำนักงานสาธารณสุขแห่งสหพันธรัฐ] จากปี 1994 มีการกล่าวถึงอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัดในช่วงปี 1924 ถึง 1938 ในจักรวรรดิเยอรมนี ตามข้อมูลนี้ ในปี 1925 มีผู้เสียชีวิตจากโรคหัด 11 คนต่อประชากร 100,000 คน ในปี 1930 เหลือเพียง 4.6 คน และในปี 1935 เหลือเพียง 2.5 คนต่อประชากร 100,000 คน นอกจากนี้ยังมีข้อมูลสำหรับสาธารณรัฐเยอรมนีตั้งแต่ปี 1950 ซึ่งในปีนั้นมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัด 0.8 คนต่อประชากร 100,000 คน ในปี 1960 เหลือเพียง 0.29 คน และในปี 1970 เหลือเพียง 0.13 คน อัตรา 0.13 ต่อประชากร 100,000 คนนั้นน้อยกว่าหนึ่งในสามร้อยของอัตราการเสียชีวิตในปี 1880 ซึ่งในขณะนั้นสูงกว่า 40 คน ต่อประชากร 100,000 คน หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ในปี 1970 มีผู้เสียชีวิตจากโรคหัดในเยอรมนีเพียง 79 คนต่อปี เทียบกับกว่า 10,000 คนในอดีต กล่าวคือ อัตราการเสียชีวิตจากโรคหัดในเยอรมนีลดลงประมาณ 99.7 เปอร์เซ็นต์ระหว่างปี 1880 ถึง 1970 และนั่นเกิดขึ้นโดยไม่มีการฉีดวัคซีน! การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดครั้งแรกในเยอรมนีเริ่มขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ดังนั้น คำกล่าวอ้างของ Der Spiegel ที่ยกมาในตอนต้นว่า การฉีดวัคซีนเป็นสาเหตุของการลดลงของโรคหัด จึงเป็นเรื่องโกหกอย่างชัดเจน ตั้งแต่ปี 1962 โรคหัดดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายมากนัก จนกระทั่งศาสตราจารย์ ดร. เกออร์ก เฮนเนเบิร์ก รองประธานสำนักงานสาธารณสุขแห่งสหพันธรัฐและประธานสถาบันโรเบิร์ต คอช เขียนในวารสารสุขภาพแห่งสหพันธรัฐว่า "ปัจจุบันการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว" การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเป็นสิ่งที่ควรทำ เนื่องจากโรคหัดจะอันตรายเฉพาะในกรณีที่พบได้ยากและสามารถรักษาได้ด้วยการรักษา ดังนั้น การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดในวงกว้างจึงไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเริ่มขึ้นในเยอรมนีในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ศาสตราจารย์เฮนเน่เบิร์ก ซึ่งปัจจุบันเป็นสมาชิกของ STIKO [คณะกรรมการวัคซีนถาวร] ดูเหมือนจะไม่ต้องการรับรู้เกี่ยวกับการประเมินของเขาอีกต่อไป และร่วมกับสมาชิก STIKO คนอื่นๆ สนับสนุนคำแนะนำเรื่องการฉีดวัคซีน ผู้เขียนรายการนี้ได้ถามคำถามกับกระทรวงสาธารณสุขของรัฐบาลกลางว่า: (BMG) "กระทรวงสาธารณสุขของรัฐบาลกลางมีข้อค้นพบสำคัญอะไรบ้าง [...] เกี่ยวกับสาเหตุที่อัตราการเสียชีวิตจากโรคหัดลดลงถึง 99 เปอร์เซ็นต์ แม้กระทั่งก่อนที่จะมีการนำวัคซีนป้องกันโรคหัดมาใช้?" [คำตอบของ BMG:] กระทรวงสาธารณสุขของเยอรมนีระบุว่า – ผมขออ้างอิง: "มีเพียงโครงการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมเท่านั้นที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญทั่วโลกในการต่อสู้กับโรคหัด ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหัดลดลง 84% ระหว่างปี 2000 ถึง 2016 นั่นคือจาก 550,000 ราย เหลือ 89,780 ราย ในช่วงเวลาเดียวกัน การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้ประมาณ 20.4 ล้านราย [...]" ดังนั้น BMG จึงกล่าวซ้ำโฆษณาชวนเชื่อตามปกติของอุตสาหกรรมยา แต่ไม่ได้ตอบคำถามที่ถามไว้ ผู้จัดทำรายการออกอากาศนี้ยังคงยืนกรานต่อไป จนในที่สุดกระทรวงสาธารณสุขแห่งสหพันธรัฐก็ยอมรับว่า: คำกล่าวอ้าง: "เป็นความจริงที่อัตราการเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อหลายชนิดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นและสถานการณ์ด้านโภชนาการที่ดีขึ้น สุขอนามัยที่ดีขึ้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดหาน้ำดื่มและการสุขาภิบาล) มาตรการทางระบาดวิทยาที่มุ่งเป้า เช่น การแยกตัวและการกักกันในกรณีที่มีการระบาด และการใช้ยา แม้ก่อนที่จะมีการนำโครงการฉีดวัคซีนในวงกว้างมาใช้ก็ตาม ผลที่ได้คือ ภาระของโรคติดเชื้อลดลงทั่วโลก ในประเทศอุตสาหกรรมและในเยอรมนีด้วยเช่นกัน ซึ่งรวมถึงสถานการณ์โรคหัดในเยอรมนีด้วย [...]" ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่า โรคหัด – แม้กระทั่งก่อนการนำวัคซีนป้องกันโรคหัดมาใช้ – ไม่ได้เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป ส่วนใหญ่เป็นเพราะการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นี่ไม่เพียงแต่ใช้กับเยอรมนีเท่านั้น แต่ใช้กับประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยทั้งหมดด้วย วูล์ฟรัม คลิงเกเล นักเขียนและนักวิจารณ์วัคซีน ได้แสดงให้เห็นอย่างละเอียดในหนังสือชุด 5 เล่มของเขาเรื่อง "วัคซีน – ข้อเท็จจริง" โดยใช้สถิติทางการมากมาย หากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดมีผลดีใดๆ ความสำเร็จของโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดก็จะสะท้อนให้เห็นในสถิติการเสียชีวิตด้วย นี่คือแผนภาพจากเอกสารเผยแพร่ "Impfprävalenz und Immunschutz gegenüber Masern, Mumps, Röteln und FSME bei Viertklässlern in Baden-Württemberg 2008/09 [อัตราการฉีดวัคซีนและภูมิคุ้มกันต่อโรคหัด คางทุ่ม หัดเยอรมัน และ FSME ในเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ก ปี 2008/09] โดยสำนักงานสาธารณสุขรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ก จะเห็นได้ว่าอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัดลดลงอย่างมากตั้งแต่ปี 1950 จนถึงช่วงเริ่มมีการฉีดวัคซีนในต้นทศวรรษ 1970 และยังลดลงอีกจนถึงปี 1989 ลองพิจารณาดูเอง คุณเห็นว่าอัตราการเสียชีวิตลดลงอย่างรวดเร็วขึ้นหลังจากเริ่มมีการฉีดวัคซีนตั้งแต่ปี 1973 หรือไม่? เราขอปิดท้ายด้วยคำกล่าวของคลิฟฟอร์ด มิลเลอร์ ทนายความและนักฟิสิกส์ ผู้เปิดโปงคำกล่าวอ้างซ้ำๆ ที่ว่าโรคติดต่อ เช่น โรคหัด ถูกควบคุมได้ในประเทศอุตสาหกรรมก็เพราะวัคซีนเท่านั้น ว่าเป็นเพียงกลอุบายโฆษณาชวนเชื่ออันชาญฉลาดของบริษัทยา: “จากที่ผมเห็นการกล่าวเกินจริงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ผมเริ่มเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าบริษัทยาในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงทศวรรษ 1950 และ 1960 คงได้แต่จับตามองอัตราการเกิดโรคที่ลดลงอย่างรวดเร็วในโลกตะวันตก […] นี่เป็นโอกาสทางธุรกิจที่ทำกำไรได้มหาศาลในการนำโครงการฉีดวัคซีนระดับชาติมาใช้ พวกเขาต้องได้ประโยชน์อย่างแน่นอน สถิติโรคกว่า 200 ปีแสดงให้เห็นว่าอัตราการเกิดโรคลดลงอย่างมาก และยังคงอยู่ในระดับต่ำหลังปี 1940 มันเหมือนกับการเล่นฟุตบอลลงเนินโดยมีลมพัดอยู่ข้างหลัง แข่งกับทีมที่มีขาข้างเดียว พวกเขาต้องตระหนักดีว่าวัคซีนของพวกเขาจะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้กอบกู้โลกจากโรคภัยไข้เจ็บ พวกเขาต้องตระหนักดีว่า…” “ถ้าหากไม่มีใครทำอะไรสักอย่างอย่างรวดเร็ว โอกาสนั้นก็จะหมดไป เพราะระดับการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตจะลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับต่ำมากตลอดช่วงที่เหลือของศตวรรษที่ 20” [แปลโดย Wolfram Klingele (Vaccination. The Facts. Volume 3, หน้า 412 f.); ต้นฉบับภาษาอังกฤษที่ http://www.whale.to/vaccine/miller45.html] ถึงเวลาแล้วที่กลอุบายโฆษณาชวนเชื่อของอุตสาหกรรมยา – ที่ถูกปกปิดโดยการเมืองและสื่อ – จะต้องเป็นที่รู้จักไม่เพียงแต่ในสหรัฐอเมริกา แต่ทั่วโลก และถูกเปิดโปง! ดังนั้นคุณควรเผชิญหน้ากับแพทย์ เจ้าหน้าที่ สำนักงาน เพื่อนร่วมงาน เพื่อน และคนรู้จักของคุณด้วยข้อเท็จจริงเหล่านี้ และเขียนจดหมายถึงบรรณาธิการ เช่น หากมีบทความอื่นอ้างว่าการฉีดวัคซีนได้ผลักดันโรคติดต่อเช่นโรคหัดให้ถอยกลับไป อังเมอร์คุงเกน แดร์ เรดัคชั่น (Rechnung zur Überprüfung: Maserntodesfälle โปร 100.000: 41/100.000 = 0,00041 เกซุงเกน auf 0,13/100.000 = 0,0000013 0,0000013/0,00041 = 0,003 1-0,003 = 0,997 = 99,7 %)

from Jonathan S./ jsa.

Sources/Links: Creative Commons Licensen https://www.creativecommons.org/licenses/
Ticket: SE-1715 Neue Zürcher Zeitung: In the US, vaccine skeptics are shaping health policy. What are the consequences for vaccination rates worldwide? https://www.nzz.ch/wissenschaft/in-den-usa-bestimmen-impfkritiker-die-gesundheitspolitik-welche-folgen-hat-das-fuer-die-impfquoten-weltweit-ld.1901856
Spiegel: Long-term consequences of fear of vaccination – measles on the rise worldwide (20.05.2013) https://www.spiegel.de/gesundheit/diagnose/zahl-der-masernfaelle-steigt-durch-impfabstinenz-a-900821.html
Start of vaccination in Germany from the beginning of the 1970’s (DDR: 1970, BRD: 1974) https://www.rki.de/SharedDocs/FAQs/DE/Impfen/MMR/FAQ_Uebersicht_MSG.html
Quote from Henneberg (Bundesgesundheitsblatt Nr. 4/1962, S. 55-58) https://tkp.at/2024/04/20/wie-kam-1973-die-masern-impfempfehlung-der-stiko-zustande/
Report of Vital and Social Statistics in the United States at the Eleventh Census, Part I, S. 238 https://www.cdc.gov/nchs/data/vsushistorical/vsush_1890_1.pdf
„Mortality Statistic of the United States 1900 to 1904, Special Reports“, Department of Commerce and Labor, United States of America, Washington, Government Printing Office 1906, S. XXVI https://www.cdc.gov/nchs/data/vsushistorical/mortstatsh_1900-1904.pdf
Pöhn, Hans Philipp / Rasch, Gernot: BGA documents. Statistics of communicable diseases requiring registration Vom Beginn der Aufzeichnungen bis heute (Stand 31. Dezember 1989) – MMV Medizin-Verlag, München 1994, S. 81. https://edoc.rki.de/handle/176904/161
Statistisches Bundesamt (2025). Sterbefälle, Sterbeziffern (ab 1998). GBE – Gesundheitsberichterstattung des Bundes. https://www.gbe-bund.de:443/gbe/isgbe.archiv?p_indnr=6&p_archiv_id=7199293&p_sprache=D&p_action=A
(Abgerufen: 01. November 2025) „Impfprävalenz und Immunschutz gegenüber Masern, Mumps, Röteln und FSME bei Viertklässlern in Baden-Württemberg 2008/09“ des Landesgesundheitsamts Baden-Württemberg, in Kooperation mit dem Robert-Koch-Institut (von Dezember 2011), Seite 5 https://www.gesundheitsamt-bw.de/fileadmin/LGA/_DocumentLibraries/SiteCollectionDocuments/03_Fachinformationen/FachpublikationenInfo_Materialien/impfpraevalenz_und_immunschutz.pdf
False Government Rubella Scare Stories – Only 20,000 Percent Overstated http://www.whale.to/vaccine/miller45.html
Wolfram Klingele: Impfen – Die Fakten. Band 3: Masern und andere Kinderkrankheiten, 1. Aufl. 2016, Verlag Netzwerk Impfentscheid, ISBN 978-3-905353-47-1, S. 51 ff., 412 f.